4 ยอดการชมวิดีโอ (Video View) คือ เป้าหมายในการเพิ่มยอดเข้าชมวิดีโอที่เราได้ทำการโพสต์ไว้ สำหรับเป้าหมายที่มีโอกาสกดดูสูง ตัวอย่าง Lead Ads ของ Facebook Ads ที่มา 2. 5 ข้อมูลลูกค้า (Lead Generation) คือ เป้าหมายในการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ ที่มีโอกาสเป็นไปได้ในการกลายเป็นลูกค้าสูง เช่น การยิงโฆษณา Facebook Ads เพื่อให้เกิดการลงทะเบียน 2. 6 ข้อความ (Message) คือ เป้าหมายในการกระตุ้นให้เกิดการส่งข้อความเข้ามาถามรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า และ บริการ ตัวอย่าง Facebook Ads เพื่อกระตุ้นให้ส่งข้อความ 3. การกระทำบางอย่างที่เราต้องการ (Conversion) 3. 1 การกระทำตามที่เราต้องการ (Conversions) เป้าหมายนี้คือการเพิ่มยอดการทำอะไรสักอย่างที่เราต้องการให้ลูกค้า หรือ ผู้ใช้คนนั้น ๆ ทำ ซึ่งเป็นได้ทั้ง การเพิ่มสินค้าลงตะกร้า การลงทะเบียน และ การซื้อ เป็นต้น 3. 2 ยอดขายในแคตตาล็อก (Catalogue Sales) คือ เป้าหมายในการเพิ่มยอดขาย ของสินค้าที่อยู่ในหน้าแค็ตตาล็อกบน Facebook 3. 3. เพิ่มยอดการเข้าร้านค้า (Store Traffic) คือ เป้าหมาย ในการเพิ่มยอดผู้เข้าชมร้านค้า ซึ่งมักจะเหมาะกับการยิงโฆษณา ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ ในการเริ่มต้นยิงโฆษณา Facebook Ads เราสามารถทำได้ผ่านการใช้งานเครื่องมือที่ชื่อว่า " Facebook Ads Manager" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราสามารถบริหารจัดการ สร้างโฆษณา และระบุว่ากลุ่มเป้าหมายคือใครได้ในเครื่องมือเดียว ตัวอย่างหน้าตาเครื่องมือ Facebook Ads Manager Boost Post กับ Facebook Ads แตกต่างกันอย่างไร?
Boost Post คือ การส่งเสริมโพสต์ให้คนอื่นเห็นมากขึ้น เพราะทุกวันนี้เวลาโพสต์อะไรลงไปในแฟนเพจของตัวเอง อัตราส่วนคนเห็นจะน้อยมาก สมมติว่าแฟนเพจของคุณมีคนกดไลก์ 5, 000 คน แต่คนเห็นโพสต์ 1 โพสต์ของคุณ อาจจะไม่ถึง 500 คน หรือ 10% เลยด้วยซ้ำเราจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการ Boost Post เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับแฟนเพจของเราได้มีโอกาสเห็นโพสต์นั้นจริงๆ จะนำไปสู่การปิดการขายได้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีรายละเอียดลงลึกถึงขั้นที่กำหนดได้ว่าการส่งเสริมโพสต์นั้นจะโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบไหน จำแนกได้ตั้งแต่เพศ ช่วงอายุ ไปจนถึงขั้นความชื่นชอบได้เลยทีเดียวนะ วิธีการ Boost Post? บอกเลยว่าไม่ยาก สมมติว่าเราทำโพสต์โปรโมทสินค้าโปรโมชันเสื้อลูกไม้ 2 ตัว จัดส่งฟรีทั่วประเทศ 1. มองหาโพสต์ที่เราต้องการ Boost แล้วกดที่ปุ่ม Boost Post เข้าไปเลย 2. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้ ทำได้ละเอียดมากๆ 2. 1 กำหนดเพศของกลุ่มลูกค้า ก็คือ เพศหญิง 2. 2 กำหนดช่วงอายุของคนที่คาดว่าจะซื้อ ประมาณ 15-34 ปี 2. 3 กำหนดที่ตั้งของกลุ่มลูกค้าที่คิดว่าจะอาศัยอยู่ สมมติว่าจะขายเฉพาะประเทศไทย 2. 4 วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ซื้อ แล้วเจาะเข้าไปที่ความสนใจ เช่น วิเคราะห์ผู้ซื้อว่าจะต้องชอบเรื่องเสื้อผ้า ชอบเรื่องไลฟ์สไตล์ ชอบดูละคร และชอบโปรโมชันแน่ๆ เราก็นำคำค้นหาเหล่านี้ ได้แก่ เสื้อผ้า, ไลฟ์สไตล์, ละคร, โปรโมชัน ที่คาดว่าจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายใส่ลงไป แล้วกด 'บันทึก' * สังเกตให้ดีว่า ข้างใต้จะมีข้อความว่า "กลุ่มเป้าหมายโดยประมาณของคุณ กำหนดไว้แล้ว xxxxx! "
ไปที่เพจเฟซบุ๊กของคุณในแอปเฟซบุ๊ก หรือเว็บไซต์ m. 2. เลื่อนหาโพสต์ที่คุณต้องการจะบูสต์ แล้วกดบูสต์โพสต์ (Boost Post) 3. จะเจอหน้าจอพรีวิวตัวอย่างโฆษณา ให้คุณตรวจสอบก่อนว่านี่เป็นโพสต์ที่คุณอยากจะบูสต์หรือเปล่า และหน้าตาของโฆษณาเมื่อไปขึ้นที่หน้าจอคนอื่นจะเป็นแบบไหน ถ้าใช่ก็เลื่อนลงมาข้างล่างก่อน เพื่อตั้งค่าแคมเปญโฆษณา 4. ตั้งค่าโฆษณาของคุณเสียก่อน สำคัญมาก ห้ามพลาด ไม่งั้นจะเสียเงินฟรีๆ โดยสิ่งที่แตกต่างระหว่างการบูสต์โพสต์ผ่านมือถือกับบูสต์โผสผ่านหลังบ้านเฟสบุ๊กคือความละเอียดในการตั้งค่า บนมือถือก็จะง่าย มีอะไรให้ตั้งค่าได้ไม่เยอะ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ผลลัพธ์โฆษณาอาจไม่ดีเท่ากับการบูสต์หลังบ้าน ที่จะเซทได้ละเอียด เดี๋ยวการบูสต์หลังบ้านเราจะมาสอนอีกทีในภายหลัง 4. 1ตั้งค่าวัตถุประสงในการโฆษณา สำหรับมือถือจะมีให้เลือก 3 แบบคือ Automatic เฟซบุ๊กจะเลือกวัตถุประสงค์ให้เองด้วย AI ของเขา (ไม่ค่อยแนะนำ เพราะโฆษณาจะวิ่งไปค่อนข้างมั่ว เปลืองตังค์ Get more Website Visitors เหมาะสำหรับคนที่ต้องการส่งคนไปยังเว็บไซท์ของตัวเอง ร้านค้าใน Shopee Lazada หน้าร้านออนไลน์อื่นๆ หรือแม้แต่กระทั่ง YouTube Get More engagement เหมาะสำหรับคนที่อยากให้คนมากดไลค์หรือคอมเมนท์ในเพจเยอะๆ บนคอมพิวเตอร์หรือหลังบ้านจะมีวัตถุประสงค์อื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีกเยอะมาก แต่สำหรับร้านค้าหน้าใหม่ 3 วัตถุประสงค์นี้ก็พอเพิ่มยอดขายให้คุณได้แล้วนะ!
ในการลงโฆษณาออนไลน์ Facebook เรามักเจอคำศัพท์ไม่คุ้นหูหลายคำ ซึ่งบางคำอาจเป็นข้อมูลสำคัญ (Key Metric) ที่สามารถเอามาวิเคราะห์ต่อได้ว่าโฆษณาของเรานั้นเป็นอย่างไร วันนี้ ad MATTER จะมาขยายความ 11 คำศัพท์พื้นฐานที่คุณควรเข้าใจก่อนลงโฆษณา Facebook ด้วยภาษาบ้านๆเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนกันยิ่งขึ้น 1. Reach หมายถึง จำนวนคนที่เห็นโฆษณาอย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Paid Reach คือ จำนวนคนที่เห็นโพสต์ จากการลงโฆษณา Organic Reach คือ จำนวนคนที่เห็นโพสต์ที่เราโพสต์ลงเพจ และไม่รวมจากการลงโฆษณา หมายเหตุ: ในโพสต์เดียวกัน สามารถมีได้ทั้ง Organic Reach และ Paid Reach 2. Impression จำนวนครั้งในการปล่อยโฆษณา นับทั้งคนเดิมและคนใหม่ โดยคนเหล่านั้นอาจจะมีหรือไม่มีส่วนร่วมกับโพสต์ของเราก็ได้ (Engagement) Impression แตกต่างกับ Reach ที่นับเป็นจำนวนครั้งในการปล่อยโฆษณา ไม่ใช่จำนวนคน หมายความว่า คน 1 คน สามารถเห็นโฆษณาได้มากกว่า 1 ครั้ง 3. Frequency จำนวนครั้งที่มีคนเห็นโฆษณา โดยเฉลี่ยที่คน 1 คน สามารถเห็นโฆษณาของเราบ่อยแค่ไหน โดยสูตรการคิด Frequency คือ Frequency = จำนวนการแสดงผลโฆษณา (Impression) / จำนวนคนเห็นโฆษณา (Reach) ตัวอย่าง: เราได้ซื้อโฆษณา 1 โพสต์ ซึ่งโพสต์นี้มีจำนวนครั้งในการปล่อยโฆษณา (Impression) 300, 000 ครั้ง และโพสต์นี้มีจำนวนคนที่เห็นโฆษณา (Reach) 200, 000 คน ค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งที่มีคนเห็นโฆษณา (Frequency) จะเท่ากับ 300, 000/20, 000 = 1.
1 เคลียร์คำถามคาใจ ขายออนไลน์ให้ปัง" วันที่ 28 มีนาคมนี้ เวลา 13. 00 – 17. 30 น. ที่ GlowFish Co-Working Space สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
เชื่อว่าหลายคนที่ขายของออนไลน์ผ่าน Facebook Fan page ยังคงสับสนว่า การซื้อโฆษณาใน Facebook Ads Manager ต่างจาก การกดปุ่ม Boost Post บนแฟนเพจ อย่างไร?
adminrugs.com, 2024