2559 เวลา 05:30 น. ได้มีการพาดหัวข่าวว่า "ตอน(ใกล้)จบ! บทสรุปมหากาพย์บ้านกลางกรุงร้าวทรุด สรุปใครจ่าย? "
การใส่ความเพื่อ "หมิ่นประมาท" คือการกล่าวอ้างยืนยันข้อเท็จจริงบางอย่างว่าเป็นจริง… แต่ความจริงๆนั้น อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง.. คน "ใส่ความ" ก็ผิดได้.. 3. การกล่าว "ใส่ความ" ยืนยัน "ข้อเท็จจริง" นั้น.. อาจกล่าวตรงๆ หรือกล่าวเป็นนัย หรือเปรียบเทียบเปรียบเปรย.. ก็ผิดได้ เช่น สส. โกงกิน. หรือ กินน้ำใต้ศอก หรือสุนัขรับใช้ หรือเฮงซวย.. ถ้าต้องตีความหมาย คู่ความต้องนำสืบความหมายที่เขาพูดก่อน.. แล้วศาลจะเป็นคนตัดสินว่า ถ้อยคำนั้น เป็นการใส่ความ ทำให้คนอื่นเสียชื่อเสียง ถูก "ดูหมิ่น" หรือถูกเกลียดชังหรือไม่.. 4. การกล่าวใส่ร้ายคนอื่นนั้น.. อาจระบุชื่อคนอื่นอย่างชัดเจน.. หรือระบุแค่อักษรย่อ.. หรือระบุชื่อสมมุติ.. หรือไม่ได้ระบุชื่อเลย.. ก็ผิดได้.. ถ้าดูจากพฤติการณ์ของผู้พูดแล้ว.. ทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ว่า.. ผู้พูดหมายถึงใคร.. 5. แม้ไม่ระบุชื่อ.. แต่ก็ต้องเฉพาะเจาะจงให้รู้ตัวบุคคล.. หากกล่าวเพียงกว้างๆ เจาะจงตัวไม่ได้.. ก็ไม่มีผู้เสียหายที่จะดำเนินคดี.. เช่น พระรูปหนึ่งในวัดนี้ ปาราชิกเสพเมถุน (ไม่ผิดเนื้องจากคนฟังไม่รู้ว่า เป็นพระรูปใดเพราะวัดนี้มีพระเยอะ) หรือ คนไทยเลวทุกคน.. ไม่ผิดเพราะไม่รู้ว่าคนไหนเลว.. แต่ถ้าพระในวัดมีแค่ 6 รูป ศาลฎีกาเคยตัดสินว่า.. แบบนี้ ใส่ความเฉพาะเจาะจงแล้ว พระรูปหนึ่งรูปใดก็เป็นผู้เสียหายดำเนินคดีฐาน "หมิ่นประมาท" ได้.. 6.
การใช้สิทธิตามกฎหมาย หรือใช้สิทธิทางศาล เช่น การแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือฟ้องร้องคดีต่อศาล ซึ่งจากตัวอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ได้แก่ กรณีที่ 1 การฟ้องร้องให้ลูกบ้านชำระหนี้ค่าส่วนกลาง, หรือกรณีที่ 2 ฟ้องร้องให้เจ้าของโครงการรับผิดในความชำรุดบกพร่อง เพื่อชดใช้เงินค่าเสียหาย เป็นต้น ประการที่ 2. แจ้งข้อร้องเรียน หรือข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรณีที่ผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการ, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี
ผู้ก่อความเสียหาย "รู้" ว่าไม่จริงแล้วยังพูด = จงใจ ข. ถ้าผู้ก่อความเสียหาย " ไม่รู้ แต่ควรรู้ได้"แล้วยังพูด = ประมาทเลินเล่อ ค. ถ้าผู้ก่อความเสียหาย " ไม่รู้ และไม่ควรรู้ได้" แล้วพูด = ไม่จงใจ ไม่ประมาท กรณี ก. ข. ต้องรับผิด ส่วนกรณี ค. ไม่ต้องรับผิด จากบทความดังกล่าวทำให้เห็นได้ว่าการที่จะเป็นนักพูดที่ดี พูดแล้วไม่มีพิษ ไม่มีภัยกับตนเองหรือผู้อื่นนั้น ก่อนจะพูดจะต้องคำนึงเสมอว่าคำพูดที่พูดออกไปนั้นทำให้บุคคลอื่นเสียหายหรืออาจจะเสียหายหรือไม่ ซึ่งในความรู้สึก ความสำนึกของคนทุกคนย่อมทราบดีว่าข้อความที่พูดออกไปนั้นเป็นอย่างไร แต่หากผู้พูดได้พูดออกไปแล้วทำให้บุคคลที่พูดถึงได้รับการยกย่อง มีเกียรติคุณสูงค่าขึ้น การพูดเช่นนี้ไม่มีทางที่จะนำภัยมาสู่ท่านได้
การใส่ความนั้น.. ต้องน่าจะทำให้คนอื่นนั้นเสียชื่อเสียง หรือถูกเกลียดชัง.. เช่น กล่าวว่า นางสร้อยเป็นเมียน้อย แย่งผัวเขามา หรือ นางแดงท้องไม่มีพ่อ หรือ นายชายเป็นแมงดา หรือ นางนกตอแหล เป็นต้น 7. การใส่ความ อาจทำด้วยการพูด การเขียน การวาดรูป การโพสต์ข้อความ หรือการโพสต์รูปภาพ ก็ได้.. 8. "หมิ่นประมาท" มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และโทษปรับ.. แต่เป็นความผิดยอมความได้.. 9. คดี "หมิ่นประมาท" ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ ภายใน 3 เดือนต่อตำรวจเพื่อให้อัยการฟ้องศาล.. 10. ถ้าผู้เสียหายไม่ร้องทุกข์.. ตำรวจจะไม่มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดี.. แม้จับคนใส่ความมาแล้ว ก็ต้องปล่อยไป.. 11. คดี "หมิ่นประมาท " ผู้เสียหายอาจไม่แจ้งความตำรวจก็ได้.. แต่ต้องตั้งทนายความฟ้องศาลเองภายใน 3 เดือน.. กรณีนี้ ตำรวจจะไม่มีอำนาจดำเนินคดี และพนักงานอัยการ ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง.. 12. คดี "หมิ่นประมาท" คู่กรณีมีสิทธิยอมความกันได้ตลอดเวลา.. ถ้าร้องทุกข์ไว้แล้ว.. ก็ถอนคำร้องทุกข์ได้ ถ้าฟ้องคดีไปแล้ว.. ก็ถอนฟ้องได้.. 13. การ "หมิ่นประมาท" โดยการโฆษณา คือใส่ความเพื่อให้คนทั่วไปได้รับรู้ เช่น ปิดประกาศ ลงหนังสือพิมพ์ ใช้ไมโครโฟน ออกอากาสทางวิทยุหรือโทรทัศน์ หรือโพสต์ข้อความแบบสาธารณะในเฟสบุ๊ค ในไลน์ เป็นต้น โทษหนักขึ้น เป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี แต่ก็ยังยอมความได้อยู่.. ถ้าผู้เสียหายเขาไม่ติดใจ.. 14.
มาตรา 326* ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ *[มาตรา 326 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ. ศ.
adminrugs.com, 2024