การศึกษา เขียนประวัติการศึกษาล่าสุดเป็นอันดับแรก แล้วย้อนหลังไปตามลำดับ มีข้อสังเกตว่าควรเขียนประวัติการศึกษาตอนอยู่มัธยมปลายสักบรรทัดนึงว่า จบจากโรงเรียนอะไร เรียนสายอะไร เกรดเฉลี่ยตอนจบเท่าไหร่ มีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่าบางคนอาจแยกหัวข้อวิชาที่สนใจ หรือวิชาที่เคยศึกษา หรือ"RELEVANT COURSEWORK" แยกออกมาเป็นอีกข้อหนึ่ง เพื่อพยายามแสดงให้เห็นว่าเราเคยลงวิชาที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่เราจะไปสมัครฝึกงาน ซึ่งเป็นผลดีมากเพราะจะทำให้ผู้ที่อ่านเรซูเมเห็นว่าเรามีความพยายาม มีความตั้งใจจริงๆ ในสายงานนี้ 4.
ทักษะพิเศษ ในข้อนี้ควรระบุความสามารถในด้านต่างๆ เช่น ความสามารถใน การใช้คอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ความสนใจ และงานอดิเรก ซึ่งเอาจริงๆแล้วในชั้นฝึกงานไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก ยกเว้นถ้าเป็นเรื่องของทักษะทางภาษา หรือทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายงาน หรือที่มีความน่าสนใจ (กว่าใช้คอมพิวเตอร์เป็น) 7. ผู้รับรอง ในข้อนี้ ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่หากคุณมีผู้ที่สามารถรับรองในคุณสมบัติที่ดีของคุณได้ อาจทำให้คุณมีโอกาสได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษเช่น อาจารย์ที่ปรึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรืออ. ประจำรายวิชาที่เรามีผลการเรียนโดดเด่น เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้รับรองไม่ควรเป็นญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือครูสมัยเรียนประถมหรือมัธยม 8. ตรวจสอบความถูกต้อง ให้เรียบร้อย เพื่อความมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หรือตกหล่นในเรซูเม่ เช่น การสะกดคำ และการตัดคำ ทั้งยังเป็นการแสดงความรอบคอบของตัวเราอีกด้วย By MW19 สำหรับใครคนไหนที่อยากจะทดลองเขียนเรซูเม่ หรืออยากได้แรงบันดาลใจในการทำเก๋ๆ เราก็มีเว็บไซต์มาแนะนำ ตามลิ้งค์ข้างนี้เลยนะคะ (แต่อย่าลอกสไตล์เขามาตรง ๆ น้า ไม่ดีเลย ตายกันมาเยอะแล้ว) Credit:
Skills Skills ก็คือความสามารถพิเศษของเรานั่นเอง แนะนำให้ใส่เฉพาะ skill ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับการทำงานจริงๆ เช่นสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับไหน ใช้คอมพิวเตอร์ได้หรือเปล่า โปรแกรม Word Excel Powerpoint รับ-ส่ง e-mail แบบเป็นทางการได้ไหม เท่านี้เองจริงๆที่บริษัทต้องการ ส่วนบางคนที่เป็นเด็กกิจกรรม ถ้ามีกิจกรรมในระดับมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนมัธยม ก็ให้ใส่ลงไปด้วย เพราะว่ากิจกรรมพวกนี้ก็แอบมีแต้มเล็กๆน้อยๆจากพนักงาน recruit บริษัทเหมือนกันครับ
ข้อมูลส่วนตัว ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำ Resume เพราะมันจะบอกว่าเราคือใคร หน้าตาแบบไหน โดยจะประกอบไปด้วย ชื่อ-นามสกุล ประวัติการศึกษา เบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลติดต่อ และรูปถ่าย เราจะต้องตรวจสอบให้ดีว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่เราใส่ไปถูกต้องไหม โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์และอีเมล เราคงไม่อยากเสียโอกาสที่จะถูกเรียกสัมภาษณ์ไปเพราะ HR ติดต่อเราไม่ได้หรอกใช่ไหม นอกจากนั้นอีเมลที่ใช้ก็ควรจะเป็นทางการด้วย เช่น ชื่อ. นามสกุล ส่วนรูปถ่ายที่เป็นจุดแรกที่ HR จะเห็นจากเรซูเม่ ก็ควรเป็นรูปหน้าตรง เห็นหน้าชัดเจน แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย 2. ประสบการณ์การทำงาน สำหรับคนที่เคยทำงานมาแล้ว ควรจะโชว์ให้ HR เห็นว่าเรามีประสบการณ์การทำงานตำแหน่งอะไร ที่ไหนมาบ้าง รวมถึงขอบเขตหน้าที่ที่รับผิดชอบ รวมถึงการอบรมต่าง ๆ ที่เคยเข้าร่วม ซึ่งควรจะเรียงลำดับจากประสบการณ์ปัจจุบันไปหาอดีต ส่วนนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน เราก็เอาประสบการณ์พิเศษต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร การออกค่าย การฝึกงาน หรือการทำงาน Part-time มาใส่เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ Resume ได้ และจะยังเป็นการสนับสนุนว่าเราเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้าน และมีความรับผิดชอบอีกด้วย 3.
Last updated: 14 OCT 14 วิธีการเขียน "เรซูเม" หลายคนอาจยังงง ๆ ว่า Resume – เรซูเม มันคืออะไร วันนี้เราก็เลยขอแนะนำก่อนว่าเรซูเม่นั้นก็คือประวัติย่อของเรา ซึ่งเกิดจากการสรุปข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรา ให้ผู้รับเราเข้าฝึกงานได้รู้จักก่อนที่เขาจะเห็นตัวจริงของเราในวันสัมภาษณ์ ดังนั้นการเขียนเรซูเม่ที่ดีจึงช่วยสร้างความประทับใจสำหรับผู้อ่านตั้งแต่ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ซึ่งเราจะต้องดึงจุดเด่นของเรา ออกมาให้ผู้รับเข้าฝึกงานรู้สึกอยากเจอตัวผู้เป็นเจ้าของประวัติ และนั่นจะทำให้เราได้รับโอกาสในการสัมภาษณ์ ดังนั้นจึงต้องให้ความพิถีพิถันกับ ขั้นตอนนี้ให้มาก แล้วสำหรับนักศึกษามือใหม่ จะเริ่มเขียนเรซูเม่อย่างไรละ? วันนี้เราก็มีขั้นตอนง่ายๆในการเริ่มเขียนเรซูเม่ที่น่าสนใจมากฝากกัน มาดูกันเลย 1. เขียนชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมล์ ควรใส่ชื่อ นามสกุลเต็ม ไม่จำเป็นต้องวงเล็บชื่อเล่น (เดี๋ยวถ้าเขาเรียกเราเข้าสัมภาษณ์เขาก็ถามเราเองแหละ) ข้างใต้ชื่อให้ใส่ที่อยู่ที่ครบถ้วนและชัดเจนหมายเลขโทรศัพท์ ควรให้ทั้งโทรศัพท์บ้าน และโทรศัพท์มือถือเพื่อสะดวกในการติดต่อ 2. จุดมุ่งหมายในอาชีพ (Objective) การใส่จุดมุ่งหมายในอาชีพ จะทำให้ดูเป็นคนมีแบบแผนในการทำงานรู้ความต้องการของตนเอง มีความเชื่อมั่น และกระตือรือร้น ซึ่งจะทำให้ดูโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น พยายามเขียนจุดมุ่งหมายในอาชีพให้สอดคล้องกับลักษณะงานที่สมัครไป มีคำแนะนำว่าควรเขียนให้สั้น และกระชับ 3.
คุณคิดภาพตัวคุณในอีกห้าปีเอาไว้อย่างไร? ทำไมคุณถึงเลือกมาทำงานนี้? คำถามที่ได้ยกมาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งในคำถามที่เรามักจะเจอตอนสัมภาษณ์ ซึ่งคำถามเหล่านี้คือคำถามเชิงจิตวิทยา ที่คนสัมภาษณ์มักใช้ถามกัน และอาจจะปรับเปลี่ยนตามบริบทขององค์กรนั้น ๆ อีกที ก่อนที่เราจะไปดูคำถามเชิงจิตวิทยาเหล่านี้ เราไปทำความรู้จักคำถามจิตวิทยากันก่อนดีกว่า เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับมือกับทุกคำถามที่เราอาจต้องเจอได้อย่างตรงจุด คำถามสัมภาษณ์งานเชิงจิตวิทยาคืออะไร?
ทำไมคุณถึงลาออกจากที่ทำงานเก่าล่ะ? แนวทางการตอบ: พยายามตอบในแง่บวก เช่น 'ออกมาเพื่อตามหาสิ่งที่ดีกว่า' หลีกเลี่ยงการพูดถึงที่ทำงานเก่าในแง่ลบ เช่น 'ออกเพราะเจ้านายเก่าที่นิสัยแย่มาก ๆ' เป็นต้น 2. คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จไหม? แนวทางการตอบ: ตอบไปเลยว่าใช่ ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะการประสบความสำเร็จไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกสักหน่อย เล่าให้เค้าฟังถึงความสำเร็จเจ๋ง ๆ ของคุณที่มีจนถึงช่วงที่สัมภาษณ์นั่นแหละ 3. คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่ไปนานแค่ไหน? แนวทางการตอบ: เลี่ยงคำตอบที่จะกำหนดช่วงเวลาอย่างแน่นอนว่าคุณจะอยู่ที่นี่ไปนานแค่ไหน ลองตอบประมาณว่า ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังพอใจที่จะรักกัน 4. คุณคิด ภาพตัวคุณในอีกห้าปี ว่าอย่างไร? แนวทางการตอบ: ตอบอย่างคนมีวิสัยทัศน์และถ้าเข้าวัตถุประสงค์ (objective line) ของ Resume ที่เราเขียนไปก็จะดีมาก (objective line คือส่วนหนึ่งของ Resume) โดยการอธิบายประมาณสองสามประโยคที่บ่งบอกตัวคุณว่าคุณเป็นคนอย่างไร และมีจุดมุ่งหมายในการทำงานอย่างไร ผู้จ้างงานจะดูตรงนี้เป็นพิเศษ ว่าเป้าหมายของคุณสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรหรือไม่ 5. คุณคิดยังไงกับที่ทำงานเก่าบ้าง?
ชูจุดเด่นของตัวเองให้เต็มที่ แต่ไม่โกหก เวลาเขียน resume อย่าใช้น้ำเยอะเกินไป ตรงกันข้าม ให้เขียนสรุปๆและชูจุดเด่นของตัวเองออกมาให้ชัดเจน และให้จุดเด่นพวกนั้นระจายๆอยู่ทั่ว resume ไปเลยสิ!
adminrugs.com, 2024