1 รากฝอย ( fibrous root) เป็นรากเส้นเล็กๆมากมายขนาดสม่ำเสมอตลอดความยาวของราก งอกออกจากรอบๆ โคนต้นแทนรากแก้วที่ฝ่อไป พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ เช่น รากข้าว ข้าวโพด หญ้า หมาก มะพร้าว ตาล กระชาย และพบในพืชใบเลี้งคู่บางชนิด เช่น รากต้อยติ่ง มันเทศ มันแกว 3. 2 รากค้ำจุน ( prop root) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลำต้นที่อยู่ใต้ดินและเหนือดินเล็กน้อย แล้วพุ่งทะแยง ลงไปในดินเพื่อช่วยพยุงและค้ำจุนลำต้น ได้แก่ รากเตย ลำเจียก ข้าวโพด ยางอินเดีย โกงกาง และไทรย้อย เป็นต้น 3. 3 รากสังเคราะห์แสง ( photosynthetic root) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลำต้นหรือกิ่งแล้วห้อย ลงมาในอากาศ มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์จึงสังเคราะห์แสงได้ ได้แก่ รากกล้วยไม้ ไทร โกงกาง ซึ่งจะมีสีเขียวเฉพาะตรงที่ห้อยอยู่ใน อากาศเท่านั้น รากกล้วยไม้นอกจากจะมีสีเขียวและช่วยในการสังเคราะห์แสงแล้ว พบว่ามีเยื่อพิเศษลักษณะนุ่มคล้ายฟองน้ำ เป็นเซลล์ พวกพาเรงคิมาเรียงตัวกันอย่างหลวมๆ โดยมีช่องว่างระหว่างเซลล์มากเรียก นวม ( velamen) หุ้มอยู่ตามขอบนอกของราก ช่วยดูดน้ำ รักษาความชื้นให้แก่ราก ตลอดทั้งช่วยในการหายใจด้วย 3. 4 รากหายใจ ( respiratory root or aerating root) เป็นรากที่ชูปลายรากขึ้นมาเหนือพื้นดิน บางทีก็ลอยตามผิวน้ำ เพื่อช่วยในการหายใจได้มากเป็นพิเศษกว่ารากปกติทั่วๆไป ทั้งนี้เพราะโครงสร้างของราก ประกอบด้วย เซลล์ พาเรงคิมาซึ่งเรียงตัวอย่างหลวมๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ทำให้อากาศผ่านเข้าสู่เซลล์ชั้นในของรากได้ง่าย รากเหล่านี้ อาจ เรียกว่า รากทุ่นลอย ( pneumatophore) ได้แก่ ลำพู แสม โกงกาง แพงพวยน้ำ และผักกระเฉด เป็นต้น 3.
💢 โดยที่เราเลือกหัวข้อที่สนใจเป็นเรื่องนี้เพราะว่าส่วนตัวเองเราชอบประเทศจีนมากๆเพราะผู้ชายที่นู้นดืออออมากก💋💕 งานดีไปหมดและยิ่งฉงชิ่งเองเป็นหนึ่งใน มณฑลของจีนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก เป็นหนึ่งในที่เที่ยวที่เราอยากจะไปให้ได้สักครั้งในชีวิตเพราะว่าเมนเราพี่จ้าน หรือ เซียวจ้าน เป็นคนฉงชิ่งทำให้เราสนใจในมณฑลนี้อย่างมากๆ😊 พอเราไปศึกษาตามนักท่องเที่ยวต่างๆเค้าก็ได้บอกฉงชิ่งเป็นเมืองที่ผู้ชายน่าตาดี คงฟิวเหมือนภาคเหนือบ้านเรา แต่!! วันนี้นอกจากเรื่องนี้แล้วเราจะพาไปรู้จักอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้และสถานที่เที่ยวในเมืองไปกันเลยยย!! ยินดีที่ได้รู้สึกนะทุกคน!
ราก เป็นส่วนประกอบหนึ่งของพืชมีหน้าที่สำคัญ คือ ดูด (Absorption) น้ำและแร่ธาตุที่จากดินเข้าไปในลำต้น ลำเลียง (Conduction) น้ำและแร่ธาตุรวมทั้งอาหารซึ่งพืชสะสมไว้ในรากขึ้นสู่ส่วนต่างๆ ของลำต้น ยึด (Anchorage) ลำต้นให้ติดกับพื้นดิน แหล่งสร้างฮอร์โมน (Producing hormones) รากเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตฮอร์โมนพืชหลายชนิด เช่น ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน ซึ่งจะนำไปใช้ในการเจริญส่วนลำต้นและยอด รากแบ่งออกเป็น 3 ชนิดตามจุดกำเนิด • รากแก้ว (Tap root) • รากแขนง (Lateral root) • รากที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทำหน้าที่พิเศษ (Adventitious root) 1. รากแก้ว (Tap root) มีลักษณะโตตรงโคน แล้วค่อยเรียวเล็กลงไปจนถึงปลาย จะยาวและใหญ่กว่ารากอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นเสาหลักรับส่วนอื่นๆ ของพืชให้ทรงตัวอยู่ได้ รากชนิดนี้พบในพืชใบเลี้ยงคู่ ที่งอกออกจากเมล็ดโดยตรง ส่วนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเมื่องอกออกจากเมล็ดใหม่ๆ ก็มีระบบรากแก้วเหมือนกัน แต่มีอายุได้ไม่นานก็เน่าเปื่อยไปแล้วเกิดรากชนิดใหม่ขึ้นมาแทน คือ รากฝอย (Fibrous root) 2. รากแขนง (Lateral root) เป็นรากที่เจริญเติบโตออกมาจาก รากแก้ว มักงอกเอียงลงไปในดินและเจริญเติบโตไปตามแนวขนานกับพื้นดิน รากแขนง รากชนิดนี้อาจแตกแขนงออกเป็นทอดๆ ได้อีกเรื่อยๆ ทั้งรากแขนงและแขนงต่างๆที่ยื่นออกไปเป็นทอดๆต่างกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อเพริไซเคิลในรากเดิมทั้งสิ้น 3.
5 รากเกาะ (climbing root) เป็นรากที่แตกออกมาจากส่วนข้อของลำต้น แล้วเกาะติดกับสิ่งยึดเกาะ เช่นเสาหรือหลักเพื่อพยุงลำต้นให้ติดแน่นและชูส่วนของลำต้นให้สูงขึ้นไป และให้ส่วนต่างๆของพืชได้รับแสงมากขึ้น ได้แก่ พลูพลูด่าง พริกไทย และกล้วยไม้ เป็นต้น ……. 6 รากกาฝาก (parasitic root) เป็นรากของพืชที่ไปเกาะต้นพืชชนิดอื่น แล้วมีรากเล็กๆแตกออกมาเป็นกระจุกแทงลงไปในลำต้นจนถึงท่อลำเลียงเพื่อแย่ง อาหาร ได้แก่ รากฝอยทอง กาฝาก เป็นต้น ……. 7 รากสะสมอาหาร (storage root) ทำหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง ไขมัน และโปรตีน เช่น รากกระชายมันเทศ มันแกว มันสำปะหลัง เป็นต้น ……. 8 รากหนาม (root thorn) เป็นรากที่มีลักษณะเป็นหนามงอกมาจากบริเวณโคนต้น ตอนงอกใหม่ๆเป็นรากปกติแต่ต่อมาเกิดเปลือกแข็งทำให้มีลักษณะคล้ายหนามแข็ง ช่วยป้องกันโคนต้นได้ เช่น ปาล์ม
ประเภทของราก รากแบ่งตามกำเนิดของรากแบ่งได้เป็น 3 ประเภท 1. รากแก้ว (Root tap) 2. รากแขนง (Lateral root) 3. รากวิสามัญ (Adventitious root) 1. รากแก้ว (Root tap) หรือ Primary root มีลักษณะ ตอนโคนจะโตแล้วค่อยเรียวเล็กลงไปจนถึงปลาย จะยาวและใหญ่กว่ารากอื่นๆที่แยกออกไป ทำหน้าที่ เป็นหลักรับส่วนอื่นๆให้ทรงตัวอยู่ได้รากชนิดนี้พบในพืชใบเลี้ยงคู่ที่งอกออกจากเมล็ดโดยปกติส่วนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ที่งอกออกจากเมล็ดใหม่ๆก็มีรากระบบนี้เหมือนกันแต่มีอายุได้ไม่นานก็เน่าเปื่อยไปแล้วเกิดรากชนิดใหม่ขึ้นมาแทน คือ รากฝอย (Fibrous root) ภาพ รากแก้ว (Root tap) 2. รากแขนง(lateral root หรือ branch root หรือ Secondary root) เป็นรากที่เจริญเติบโตออกมาจาก รากแก้ว มักงอกเอียงลงไปในดินจนเกือบขนานหรือขนานไปกับพื้นดิน รากชนิดนี้อาจแตกแขนงออกเป็นทอดๆ ได้อีกเรื่อยๆ ทั้งรากแขนงและแขนงต่างๆที่ยื่นออกไปเป็นทอดๆต่างกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อเพริไซเคิลในรากเดิมทั้งสิ้น ภาพ รากแขนง ภาพ การเกิดรากแขนง 3. Adventitious root หรือ รากวิสามัญ เป็นรากที่ไม่ได้กำเนิดมาจากรากแก้วหรือรากแขนง รากชนิดนี้อาจแตกออกจากโคนต้นของพืช ตามข้อของลำต้นหรือกิ่ง ตามใบหรือจากกิ่งตอนของไม้ผลทุกชนิด แยกเป็นชนิดย่อยได้ตามรูปร่างและหน้าที่ ได้ดังนี้ 3.
4 รากหายใจ (Pneumatophore) เป็นรากที่แทงปลายรากขึ้นมาเหนือพื้นดิน เพื่อช่วยในการหายใจเอาออกซิเจนจากอากาศให้ได้มากขึ้นเพราะในดินเลนมีออกซิเจนต่ำ รากประเภทนี้มีเซลล์พาเรงไคมา (parenchyma) เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ ในเนื้อเยื่อ ทำให้มีช่องว่างระหว่างเซลล์มากขึ้น ออกซิเจนจึงสามารถผ่านเข้าสู่เซลล์ชั้นในของรากได้ง่ายขึ้น พบในพืชจำพวกต้นแสมและลำพูที่ขึ้นอยู่ได้ในบริเวณป่าชายเลน รากหายใจ / PHOTO 3. 5 รากสะสมอาหาร (storage root) เป็นรากที่ทำหน้าที่ในการสะสมอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และ โปรตีนเอาไว้ที่บริเวณรากของมัน ทำให้มีลักษณะอวบอ้วน 3. 6 รากกาฝากหรือรากปรสิต (Parasitic root) เป็นรากที่แทงเข้าไปในกิ่งของพืชชนิดอื่นเพื่อพักอาศัยและเป็นแหล่งอาหารเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ซึ่งบางครั้งจะเจริญเติบโตและแย้งอาหารจนทำให้พืชที่ถูกเกาะนั้นตายรากกาฝากจะกระจายพันธุ์ด้วยนกในกลุ่มกาฝาก โดยนกในกลุ่มกาฝากนั้นจะกินผลของต้นกาฝากจากต้นหนึ่ง และบินไปถ่ายมูลไว้ที่ต้นอื่นๆ เมื่อสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตก็จะทำการงอกรากลงบนพืชที่นกได้มาถ่ายมูลไว้และเจริญเติบโตต่อไป เราจะพบรากกาฝากได้ในต้น กาฝาก ต้นฝอยทอง และต้นไทรบางชนิด รากกาฝาก / PHOTO เรียบเรียง วรางคณา จันดา เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
adminrugs.com, 2024