ระหว่าง TU-GET 550 กับ CU-TEP 550 อย่างไหนที่มีโอกาสทำได้มากกว่ากันครับระหว่างข้อสอบ 2ตัวนี้ เพราะผมเคยได้ยินคนพูดกันว่า CU-TEP นั้นง่ายกว่ามากๆ แต่ผมไปสอบมาปรากฎว่าได้คะแนนเพียง 535 ทั้งๆที่อ่านหนังสือ+ทำโจทย์แทบตาย กลับกันคะแนน TU-GET ของผมนั้นได้ 720 ทั้งๆที่ไปสอบเล่นๆ ผมชักสงสัยเสียแล้วสิว่า อย่าไหนมันง่ายกว่ากัน เพื่อนๆมีใครเคยสอบทั้ง 2 อย่างนี้ไหมครับ แล้วคะแนนเป็นอย่างไรบ้าง...? ปล. เห็นบางคนโม้ว่า ได้ TU-GET เพียง 610 แนน แต่ดันได้ CU-TEP 608 คะแนน ซึ่งผมเองก็คิด(ในใจ)ว่าเป็นไปไม่ได้... หรือไม่เขาคนนั้นก็มั่ว...!!! ปล. 2 VOCAB TU-GET มันก็ไม่ได้ยากเว่อร์อย่างที่หลายๆคนบอกผมมา ผมเองสอบได้ พาร์ท VOCAB ของ TU-GET 230/250 ครับ เทียบกับศัพท์ GRE verbal ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ...
น้องๆทุกคนคงทราบดีว่าจะยื่นคะแนนเข้าคณะอินเตอร์ จุฬา หรือ ธรรมศาสตร์ แต่ละคณะ require คะแนนสอบหลายตัวมากๆ อย่างน้อยๆต้องมี 1. คะแนนสอบภาษาอังกฤษ 2. คะแนน SAT คะแนนทดสอบภาษาอังกฤษ ถ้าจะรับนักเรียนหนึ่งคนเข้ามาเรียนในคณะอินเตอร์ ทางคณะต้องมั่นใจแล้วว่า น้องสามารถเรียนในระบบภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น การวัดความรู้ภาษาอังกฤษจึงจำเป็นอย่างมาก บางคณะ ใช้คะแนนสอบภาษาอังกฤษ เป็นแค่ตัวกำหนดว่าจะมีสิทธิ์ได้รับพิจารณาสมัครได้หรือไม่ ซึ่งคะแนนสอบที่เป็นที่ยอมรับ ก็มีหลาย choice มากๆ ทั้ง TOEFL, CU-TEP, TU-GET แต่เนื่องจากข้อสอบเหล่านี้ มีข้อจำกัดหลายๆ อย่างเช่น TOEFL ก็ยากไป CU-TEP ก็ใช้ได้แค่จุฬา TU-GET ก็ใช้ได้แค่ธรรมศาสตร์ จึงทำให้ข้อสอบที่ hot hit ที่สุด ใช้ได้ทุกคณะ ทุกมหาลัย และไม่ยากเกินไป คือ IELTS นั่นเอง! และด้วยความที่ จะเข้าอินเตอร์ที ต้องสอบหลายตัวมากๆ ต้องแบ่งเวลาให้กับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเรียนที่โรงเรียน เกรดก็ทำให้ดี IELTS ก็ต้องสอบ SAT ก็ต้องเอา ทำให้น้องหลายคน ไม่สามารถแบ่งเวลาได้ สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก สุดท้าย สอบไม่ผ่านซักตัว! ปัญหานี้ KRUPIMHOUSE เราเจอมาทุกปี!! แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี?
ในส่วนของ Writing นั้น ใน SAT จะเป็นการ check Grammar แต่ในส่วนของ IELTS จะเป็นการเขียน essay ซึ่งเราก็สามารถใช้ grammar ที่ได้จากการสอบ SAT ไปเขียน Essay ในข้อสอบ IELTS ได้เช่นกัน พิจารณา 2 พาร์ทนี้แล้ว SAT ดูเหมือนจะยากกว่า แต่หากพิจารณา พาร์ท Listening และ Speaking ใน IELTS เข้าไปแล้วละก็ น้องๆ ที่พื้นฐานด้านการพูดภาษาอังกฤษน้อย ก็จะมองว่า IELTS โคตรยากไปเลยย สรุปว่า! ยากทั้งคู่ แต่ยากคนละแบบ! เตรียมตัวกันละแบบเกือบ 100%! SAT vs IETLS ใครเปิดสอบบ่อยกว่า? SAT เปิดสอบแค่ 4 รอบต่อปี! คือ มีนา, พฤษภา, ตุลา และ ธันวา IELTS เปิดสอบตลอดปี แทบจะเปิดทุก 2 สัปดาห์ SAT vs IELTS คะแนนใครมาถึงก่อน? SAT ใช้เวลา 18 วันกว่าจะได้คะแนนมา แถมการส่งคะแนนเป็นแบบ ออนไลน์ใช้เวลาการส่งคะแนนออนไลน์ให้ทางคณะอีก 10 กว่าวัน IETLS ใช้เวลา13 วัน ได้รับคะแนนเป็น hardcopy ส่งตรงถึงบ้าน หรือไปรับคะแนนได้โดยตรงที่ทาง British Council หรือ IDP ได้เลย และสามารถเอาคะแนนที่ได้ไปยื่นให้ทางคณะได้โดยตรง SAT vs IETLS เก็บคะแนนได้นานเท่าไหร่? เก็บคะแนนได้นาน 2 ปี เหมือนกันท้ังคู่ SAT vs IETLS จะสอบตัวไหนก่อนดี? เมื่อน้องๆ ทราบรายละเอียดทุกอย่างแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องวางแผนแล้วว่าจะ จัดเวลาอ่านหนังสือ และเวลาสอบอย่างไรดี เพื่อให้น้องๆสอบผ่านได้ เร็วที่สุด!
ซึ่งการที่น้องจะสอบผ่านแต่ละตัวนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง พยายามเอาปัจจัยเหล่านั้นมาพิจารณารวมกัน 1. คะแนนที่อยากได้ อยากเข้าคณะอะไร? คำถามนี้ต้องมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เพราะจะทำให้น้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน set เป้าหมายไว้ และอย่าเปลี่ยนบ่อย เพราะหากน้องเปลี่ยนเป้าหมายบ่อย จะทำให้น้องรวน สับสนเอง! เมื่อรู้คณะที่ตั้งเป้าไว้แล้ว หาว่าต้องได้คะแนนอย่างน้อยเท่าไหร่ พยายาม set คะแนนที่อยากได้ ให้มากกว่าคะแนนเฉลี่ยของปีที่แล้ว! เช่นปีที่แล้ว BBA จุฬา คะแนน SAT อยู่ที่ 1300 ปลายๆ ถึง 1400 ต้นๆ เพราะฉะนั้น ปีนี้น้องควรต้องได้คะแนนอยู่ใน range นี้นั่นเอง! 2.
ตารางเทียบคะแนน TOEFL, IELTS, CU-TEP และ TU-GET วันที่ 17 มีนาคม 2549 เรียบเรียงโดย: ดร.
SAT vs IELTS แตกต่างกันอย่างไร? ก่อนจะวางแผนสอบเราต้องรู้จัก nature ของข้อสอบก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็สมัครสอบ ไม่ศึกษาอะไรก่อนเลย ข้อสอบสองตัวนี้ต่างกันอย่างไร? จะขออธิบายคร่าวๆ ให้ฟังว่า IELTS คือข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ! แค่ ENG อย่างเดียว! คะแนนเต็ม 9! ทดสอบทั้งหมด 4ทักษะ ด้วยกัน คือ Listening, Speaking, Reading, Writing (Essay) ข้อสอบอยู่ในระดับปานกลางถึงยาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของน้องๆ ทางคณะส่วนใหญ่จะต้องการคะแนน 6 ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้สอบติดแบบไม่ต้องลุ้นก็ควรได้ 7 SAT คือข้อสอบวัดระดับความรู้ MATH และ ENG! คะแนนเต็ม part ละ 800! รวมกัน 2 พาร์ทเต็ม 1600! ถ้าจะเข้าอินเตอร์ คะแนนค่อนข้าง vary ไปตามคณะที่น้องๆ อยากเข้า เช่น BBA-CHULA/ THAMMASART ก็ควรได้ 1300 ปลายๆ หรือ 1400 ต้นๆ ในส่วนของ MATH จะคลอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ ม. ต้น ไปจนถึง ม. ปลาย เล็กน้อยๆ ส่วน Eng นั้นจะมีทั้ง reading และ writing (Grammar). SAT vs IELTS ใครยากกว่ากัน! การเปรียบเทียบว่าใครยากกว่า จะขอเปรียบเทียบแค่วิชา ENG อย่างเดียว ในส่วนที่เป็น reading นั้น น้องทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า SAT ยากกว่ามากกกกกกกก! และด้วยความที่ SAT ยากกว่ามาก ทำให้คนที่ผ่านการสอบ SAT มาแล้ว กลายเป็น IELTS ง่ายไปเลยย!
adminrugs.com, 2024